| รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของเพียเจท์ (Jean Piaget)   เป็นการเรียนรู้แบบเดิมที่เราใช้กันมานานคือ   การจัดการเรียนรู้ที่ครูเป็นผู้ให้ข้อมูลและนักเรียนเป็นผู้รับข้อมูล   ครูยิ่งให้ข้อมูลมากเท่าไร นักเรียนก็ยิ่งรับ
              ข้อมูลได้มากเท่านั้น   ซึ่งเสนอในรูปสมการลูกศรทางเดียวได้ดังนี้
 
 
                  S---------> O           S (Stimulant)   คือ แรงกระตุ้น อาจเป็นครู ผู้สอน   หรือสิ่งแวดล้อมที่จะไปกระตุ้นนักเรียนหรือผู้เรียน
           O (Organism)   คือ ผู้ที่ถูกกระตุ้น คือ นักเรียน หรือผู้เรียนจากสมการข้างต้น   ผู้เรียนจะเป็นผู้ที่อยู่นิ่งๆ (passive) หรือเป็นผู้ที่ถูกกระทำ   ซึ่งผู้เรียนจะต้องพึ่งพาสิ่งที่มา
                กระตุ้นก็คือครู   ผู้เรียนจะเรียนรู้ได้จากการที่ครูเป็นผู้ให้ความรู้ และผู้เรียนเป็นผู้รับความรู้อย่างเดียว   หรือพูดอีกอย่าง
                หนึ่งก็คือ ผู้เรียนเปรียบเสมือนกล่องเก็บ
 ของว่างๆ   และครูจะเป็นผู้นำข้อมูลความรู้ต่างๆ มาใส่ให้ นี่คือการเรียนรู้แบบเดิม
 
           สำหรับการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructivism   หรือการสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง   มองว่าการเรียนรู้แบบเดิมไม่ใช่
                ก
                ารเรียนรู้ที่ถูกต้อง   เพราะไม่ใช่การสอนให้เด็กเรียนรู้ เด็กไม่ได้เรียนรู้เอง ไม่ได้คิดเอง   เราพบว่าการพัฒนาศักยภาพ สมองไม่ใช่การให้เด็กเป็น ผู้รับอย่างเดียวเท่านั้น   แต่ต้องให้เด็กและครูเกิดการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้ง2 ฝ่าย   โดยที่ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
 
           ทฤษฎี   constructivism หรือทฤษฎีการเรียนรู้แบบใหม่ คือ การสอนให้เด็กเรียนรู้เอง คิดเอง   เด็กและครูจะเกิดการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้ง 2 ฝ่าย   โดยที่ต่างฝ่ายต่าง เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ตามทฤษฎีการเรียนรู้constructivism   ผู้เรียนจะมีความสัมพันธ์กับผู้สอนดีกว่า การเรียนรู้รูปแบบเดิม   เพราะมีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้เรียนและผู้ทำหน้าที่สอน   ซึ่งจะเสนอ ในรูปสมการลูกศรสองทางดังนี้
 
 
                  O<----------> S           จากสมการ O คือ   ตัวนักเรียนหรือผู้เรียนที่เป็นตัวหลักที่มีสิ่งกระทำต่อตัว S คือ   ครูหรือผู้สอนด้วย โดยมีลักษณะ
                เป็นลูกศรสองทาง กล่าวคือ   การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อมีกิจกรรม เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ใช่อยู่นิ่งๆ   เหมือนกับในสมการแรก
                ที่เป็นการเรียนรู้แบบเดิม หรือพูดง่ายๆ คือ   ครูหรือผู้สอนและสิ่งแวดล้อมไม่ใช่สิ่งที่กระตุ้นหรือสิ่งที่กระทำต่อผู้เรียนเพียง
 อย่างเดียว   แต่ผู้เรียนก็มีการกระทำต่อครูหรือผู้สอนด้วย นั่นคือผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับครู   มีการสัมพันธ์อย่าง
                ไม่อยู่นิ่งทั้งสองฝ่ายเพื่อที่จะให้เกิดการเรียนรู้
 
 ทฤษฎี Constructivism   ได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่องความรู้จากกระบวนการเรียนรู้ ไว้ดังนี้
 
                  
                    ความรู้ประกอบด้วยข้อมูลที่เรามีอยู่เดิม   และเมื่อเราเรียนรู้ต่อไปความรู้เดิมก็จะถูกปรับเปลี่ยนไป   การปรับเปลี่ยน
                      ความรู้ต่างๆ   ถือว่าเป็นการรับความรู้เข้ามาและเกิดการ ปรับเปลี่ยนความรู้ขึ้น   เด็กจะมีการคิดที่ลึกซึ้งกว่าการท่อง
                      จำธรรมดา   เพียงแต่เขาจะต้อง เข้าใจเกี่ยวกับความรู้ใหม่ๆ ที่ได้มา   และสามารถที่จะสร้างความหมายใหม่ของความรู้
 ที่ได้รับมานั่นเอง
 
 
                
                            บางครั้งเราคิดว่าถ้าเรามีหลักสูตรที่ดีพอและเต็มไปด้วยข้อมูลที่สามารถให้กับผู้เรียนได้มากที่สุดเท่าที่เรา
                    จะให้ได้แล้ว   ผู้เรียนก็จะสามารถเรียนรู้ได้เองและเติบโตไปเป็นผู้ที่มีการศึกษา แต่ทฤษฎี   constructivism กล่าวว่าหลักสูตรอย่างนั้นไม่ได้ผล นอกจากว่าผู้เรียนได้เรียนแล้ว   สามารถคิดเองและสร้างมโนภาพความคิดด้วย
                    ตนเอง 
                    ทั้งนี้   เพราะการให้แต่ข้อมูลกับผู้เรียน ไม่ได้ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้   เพราะการเรียนรู้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ สมองของคนเรามีกระบวนการสร้าง ความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้นแล้วนำมาทำความ 
                    เข้าใจว่าเป็นอย่างไร   รวมทั้งจะต้อง
                    นำมาสร้างความรู้
 ความรู้สึก และมโนภาพของเราเองด้วย
 
           ดังนั้นถ้าพูดถึงระบบการศึกษาแบบที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง   ไม่ได้หมายความว่ามีอุปกรณ์การสอน แล้วเราละทิ้งให้ผู้เรียนเรียนไปคนเดียว   แต่การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 
                    คือ   ผู้เรียนจะเป็น ผู้ที่มีความสำคัญที่สุด   หมายความว่าผู้เรียนจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กันกับสิ่งกระตุ้น
 สิ่งกระตุ้นในที่นี้ หมายถึง ครู ผู้สอน หรือสิ่งแวดล้อมที่จะไปกระตุ้นผู้เรียน   ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะ
 ช่วยชี้แนะ แนวทางการคิดให้กับผู้เรียน   นอกจากนี้การสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งกระตุ้นต่างๆ   จะทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างเป็นความ
                        รู้ขึ้นในสมอง
 
                    ตัวกระตุ้นที่มีความสำคัญมากต่อการเกิดการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructivism   คือ ความรู้เกิดจากความฉงนสนเทห์ทาง
                      เชาวน์ปัญญา   วิธีการที่เราสามารถทำให้ผู้เรียนอยาก จะเรียนรู้คือมีตัวกระตุ้นที่ทำให้ผู้เรียนเกิดข้อสงสัยอยากรู้   และผู้เรียนต้องมีเป้าหมาย และจุดประสงค์ที่อยากจะเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ   ทั้งนี้เพราะว่าเวลาคนเราเกิดความสงสัยเกี่ยวกับอะไร   ก็มักจะเกิดข้อคำถามที่ไม่สามารถตอบได้ขึ้นมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้น   เป็นเป้าหมายที่จะทำให้ต้อง
                      เรียนรู้ เพื่อที่จะตอบคำถามนั้นให้ ได้
 
 ดังนั้นครูจึงต้องพยายามดึงจุดประสงค์ ความต้องการ   และเป้าหมายของผู้เรียนออกมาให้ได้ อาจจะโดยกำหนดหัวข้อหรือ
                    พูดคร่าวๆ   ว่าเราจะศึกษาหรือเรียนรู้อะไรบ้าง เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับ การเดินทางเข้าเมือง   ให้ผู้เรียนตั้งเป้าหมายว่าเขาต้อง
                    การที่จะเรียน รู้อะไร มีคำถามอะไรบ้าง   ซึ่งเป้าหมายจะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนและทำให้ผู้เรียนพยายามที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น   และมีความเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
 
                    อีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มนักจิตวิทยา   ได้ให้ความคิดเห็นว่าความรู้มาจากการมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม   จากการที่เราได้ทบทวนและสะท้อนกลับไปของความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เราเข้าใจ
           กระบวนการเรียนรู้โดยธรรมชาติ   เป็นการเรียนรู้ที่มีความสัมพันธ์กันเป็นสังคม กล่าวคือ   ความรู้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม   ความรู้มาจากการที่คนอื่นได้แสดงออกของความคิดที่แตกต่างกันออกไป   และกระตุ้นให้เราเกิดความสงสัย   เกิดคำถามที่ทำให้เราอยากรู้เรื่องใหม่ๆ
           ดังนั้นการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ต้องมีสังคม   ต้องดึงเอาความรู้เก่าออกมาและต้องให้ผู้เรียนคิด และแสดงออก   ซึ่งจะทำได้เฉพาะกับสังคมที่มีการสนทนากัน   แม้ว่าบางครั้งการสนทนา หรือการแสดง ความคิดเห็นอาจจะไม่ตรงกันหรือมีความ
                ขัดแย้งกัน   แต่ความขัดแย้งจะทำให้เราเกิดการพัฒนา และได้ทางเลือกใหม่จากที่คนอื่นเสนอ   ฉะนั้นต้องทำให้ผู้เรียนได้แสดง
                ออกมาว่ารู้อะไร   และให้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียนรู้โดยที่ครูหรือผู้สอนเป็นผู้ช่วยเหลือเขา
           สิ่งสำคัญมากประการหนึ่ง คือ   ครูจะต้องมีเวลากลับไปทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการ ออกแบบชั้นเรียน   และถ้าผู้เรียนสามารถสร้างวิธีการประเมินตนเองในการเรียนรู้ที่ผ่านมา   ก็จะประเมินตนเองได้ว่าได้ทำอะไรเพิ่มเติมจากที่ครู
                ประเมิน   ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ ของเขาและสะท้อนว่าเขาได้   เรียนอะไรและทำได้ดีเพียงไร
 |