| การเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructivism จะช่วยให้ผู้เรียนมีสมาธิ   สามารถทำงานได้นานขึ้นได้อย่างไร
 
           เรื่องสมาธิจะขึ้นอยู่กับอายุของผู้เรียน   ถ้าผู้เรียนอายุมากขึ้นก็จะมีสมาธิมากขึ้น   แต่สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่ง ที่จะทำให้สมาธิดีขึ้น คือ   ต้องมีสถานที่สำหรับให้ผู้เรียนทำการบ้านหรือศึกษาค้นคว้า เช่น   อาจมีโต๊ะเขียนหนังสือหรือมี บริเวณไหนของบ้านก็ได้ที่จะใช้เป็นที่ทำการบ้าน   เป็นที่เรียนหนังสือ เป็นที่ศึกษาค้นคว้า นอกจากนี้   บริเวณนั้นจะต้องม ีสิ่งของที่เขาจำเป็นต้องใช้ เช่น อาจมีพจนานุกรม (dictionary)   และควรเป็นสถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากโทรทัศน์ เพื่อที่เด็กจะได้มีสมาธิ   ไม่วอกแวกได้ง่าย
           จริงอยู่บางคนอาจจะทำการบ้านได้ดีถ้ามีเสียงดนตรีเบา ๆ   หรือมีเสียงคนรอบๆ   ซึ่งจะต้องศึกษาดูว่าสิ่งเหล่านี้เป็น ปัจจัยเอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนหรือไม่   แต่สำหรับความคิดเห็นของผู้บรรยายคิดว่าควรเงียบๆ   ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุของผู้เรียนด้วย และพ่อแม่ไม่ควรจุ้นจ้านวุ่นวายมากนัก   แต่ต้องอยู่แถวๆ บริเวณนั้นเพื่อคอยตอบคำถาม สิ่งที่จะตอบต้องเป็นไปในแง่บวก เช่น   อาทิตย์ที่ผ่านมาผู้บรรยายนั่งดูลูกทำการบ้าน ซึ่งกำลังเขียนบนจอคอมพิวเตอร์   เมื่อเข้าไปดูเห็นผิดมาก แต่ก็จะยังไม่พูด เมื่อลูกถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง   ก็จะหยุดนิดหนึ่ง แล้วอ่านสิ่งที่ลูกเขียน เห็นว่ามีคำสะกดผิด แต่ก็จะยังไม่พูด   พูดคุยกับลูกว่าคิดอย่างไรเกี่ยวกับแนวคิดการเขียนที่ว่าดี บอกให้ลูกอ่านดังๆ   จะได้ฟังว่าดีไหม เมื่อลูกอ่านไปสักข้อความหนึ่งก็จะเห็นเองว่าเขียนผิด เขาก็จะแก้   และพบว่าถ้าเราอยู่กับเขาตรงนั้น และค่อยๆ แบ่งเป็นช่วงๆ   คืออ่านไปก่อนและให้ลูกดูเป็นช่วงๆ โดยมีคำแนะนำที่นุ่มนวล   จะทำให้เด็กสามารถมีสมาธิที่นานขึ้น
           การจะกระตุ้นให้เด็กอยากทำอะไร แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ   อยากทำจากข้างในของเด็กเอง คือเด็กอยากจะทำเอง   กับอยากทำจากข้างนอกโดยการกระตุ้นจากพ่อแม่ให้เด็กอยากทำ เช่น   เราบอกให้ลูกทำและเมื่อทำแล้วจะได้อะไร   ซึ่งความจริงเราอยากให้ลูกอยากทำเองโดยที่เราไม่ต้องกระตุ้นมากนัก   แต่ก็พบว่าการกระตุ้นจากข้างนอกก่อน นานๆ   ไปจะทำให้เด็กเกิดความอยากทำออกมาจากข้างในเอง
           ยกตัวอย่าง   ถ้าเราอยากให้ลูกสาวนั่งอ่านหนังสือคนเดียว   ทั้งที่รู้ว่าลูกสาวชอบไปเล่นที่สนามเด็กเล่นกับ เราและจูงสุนัขไปด้วย   เราก็บอกลูกสาวว่า หนูอ่านหนังสือคนเดียวก่อนนะสักเท่านี้นาที   เมื่อหนูอ่านเสร็จแล้วแม่จะพา หนูไปเล่นที่สนามเด็กเล่น พบว่า   หลังจากที่ทำเช่นนี้ไปได้ระยะหนึ่ง   ในที่สุดลูกสาวก็อยากอ่านหนัง สือเองโดยไม่ต้องเอาสนามเด็กเล่นมาเป็นเงื่อนไข   นั่นคือกระตุ้นจากภายนอกก่อนแล้วความอยากทำจากข้างในจะถูกกระตุ้นออกมาเอง
           เมื่อนำวิธีการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้กับเด็กรายหนึ่งที่นั่งหลับตลอดในห้องเรียน   พบว่าไม่เกิดผล ซึ่งเมื่อพูดคุยกับเด็กคนนี้เพื่อค้นหาว่ามีปัญหาอะไร   ก็พบว่าเด็กเป็นโรคทางการนอนที่ไม่สามารถรักษาทางการแพทย์ได้   ฉะนั้นก่อนที่จะสรุปปัญหาเกี่ยวกับตัวเด็ก   ควรดูก่อนว่าเด็กมีปัญหาทางร่างกายหรือไม่
           กรณีปัญหาของเด็กรายนี้ อาจลองตรวจสอบข้อมูลว่าเด็กดูทีวี วิดีโอ   เล่นเกมส์ ไปเที่ยวดึกหรือไม่ ทำให้มีเวลานอนน้อยจึงมาหลับในห้องเรียน   ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องเชิญพ่อแม่เด็กมาพูดคุยถึงปัญหาด้วย   ว่าจะทำอย่างไรจึงจะกระตุ้นแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของเด็ก พบว่า   บางทีอาจต้องพาเด็กไปพบกับคนที่มีอาชีพที่เด็กสนใจ   เพื่อให้เห็นว่าจำเป็นที่เขาจะต้องเรียนรู้ในห้องเรียน   เพื่อจะได้นำไปใช้กับชีวิตจริง |