| การจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎี Constructivism   จะดีที่สุดสำหรับห้องเรียนที่มีเด็ประมาณ 20 คน   แต่อย่างไรก็ดียังสามารถใช้ได้กับห้องเรียนที่มีเด็ก 60-70 คน   ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับครูก็ตาม
           พฤติกรรมที่สำคัญสำหรับครูในการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎี   Constructivism คือ
           1.   ครูจะต้องดึงความรู้เดิมของผู้เรียนออกมาให้ได้ว่าผู้เรียนมีความรู้เดิมอะไรอยู่บ้างแล้ว
           2.   จากนั้นครูต้องสร้างสิ่งกระตุ้นที่ท้าทายผู้เรียน ให้เขาตั้งสมมุติฐาน ตั้งคำถาม   และคิดทบทวนว่าความรู้เดิมที่เขามีอยู่คืออะไร ครูต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนสร้างคำถาม   ตั้งสมมุติฐาน และหาวิธีที่จะตอบคำถามนั้นให้ ได้
           3.   ครูต้องสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม   และกระตุ้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ไม่ใช่ให้นั่งดูเฉยๆ   ผู้เรียนจะทำอะไรก็ทำไป   ครูต้องเน้นถึงกิจกรรมที่จะให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ
           ครูจะทำอย่างไรจึงจะรู้ได้ว่าผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และมีการเรียนรู้เกิดขึ้น   ครูจะรู้ได้โดยให้ผู้เรียนแสดงออก   บางครั้งครูอาจตั้งคำถามและบอกให้ผู้เรียนเขียนและยกคำตอบขึ้นมา   หรือบางครั้งอาจจะให้ผู้เรียนบอกเพื่อนข้างๆ   หรือให้ผู้เรียนถกปัญหากันเองในกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้การเรียนรู้เกิดขึ้น   เพราะการที่ครูมองหน้าผู้เรียนเพื่อจะหาคำตอบว่ารู้เรื่องที่พูดถึงหรือไม่   ครูจะไม่ได้รับคำตอบ ดังนั้น   ครูจึงต้องหาวิธีที่จะดึงสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ออกมา   และครูจะต้องทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการ ที่ต้องคิดและพูดในเรื่องที่ครูได้พูดและแสดงออกมาในรูปแบบใดก็   ได้ ว่ากำลังเรียนรู้
           4.   ครูที่จัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎี Constructivism   ต้องวางแผนการสอนอย่างมากที่จะคิดคำถามล่วงหน้าเพื่อที่จะถามผู้เรียนเพื่อให้เขาได้แสดงออก   และควรจดลงในแบบเตรียมการสอนด้วยโดยคำกริยาที่ครูควรใช้ในการตั้งคำถามกับผู้เรียน   คือ วิเคราะห์ ตั้งสมมุติฐาน ทำนาย ประเมิน เปรียบเทียบ สร้างสรรค์   เพราะคำกริยาต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้ผู้เรียนเกิดความ
 คิดที่ลึกซึ้ง   คิดวิเคราะห์และหาทางพิสูจน์มากขึ้นกว่าการใช้คำว่า บอกมา บ่งชี้มา หรืออธิบายมา   คำถามที่ใช้คำกริยาเหล่านี้เป็นคำถามที่เด็กปั..าเลิศจะลุกขึ้นตอบ   และจะกระตุ้นให้เด็กทั่วๆ ไปคิดมากขึ้น ไม่ใช่ให้เด็กนั่งเฉยๆ   แล้วครูคิดว่ามีอะไรที่จะต้องให้เด็กท่องจำ   ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะต้องเป็นเช่นนั้นแต่ไม่ใช่การสอนทั้งหมด
 
           การจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎี Constructivism   จะต้องอยู่บนพื้นฐานที่ผู้เรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้และสามารถสร้างงานออกมาจากการเรียนรู้นั้น   ครูจะต้องไม่ทิ้งหลักสูตรทั้งหมดและไม่ใช่สอนเฉพาะสิ่งที่ผู้เรียนสนใจเท่านั้น   เนื่องจากผู้เรียนไม่ได้ สนใจว่าหลักสูตรเป็นอย่างไร   แต่ครูต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ครูจะสอน   ไม่ใช่เอาความสนใจของผู้เรียนมานำสิ่งที่ครูจะสอน ต้องใช้วิธีการสอนที่กระตือรือร้น   ผู้เรียนมีส่วนร่วม มีการซักถาม มีลักษณะการคุยกันเป็นสังคม   จัดห้องเรียนที่ให้ผู้เรียนสามารถแสดงออก พูดคุยระหว่างกัน สามารถทบทวน   สะท้อนความคิดออกมาให้เห็นว่าเกิดการเรียนรู้
 
           5.   ครูจะต้องให้เวลาผู้เรียนที่จะทำงานคนเดียว หรือทำงานกับเพื่อน หรือทำงานเป็นกลุ่ม   และต้องให้มีการติดต่อเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ ติดต่อกับโลกความเป็นจริงด้วย   ต้องเน้นว่าสิ่งที่เรียนรู้เชื่อมโยงกันอย่างไร   และเชื่อมโยงกับความเป็นจริงในโลกของเขาอย่างไร
 
           วิธีการหนึ่ง คือ   จัดกลุ่มผู้เรียนกลุ่มเล็กๆ อาจจะประมาณ 4-5 คนต่อกลุ่ม   และมอบหมายงานให้แต่ละกลุ่มทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องบอกด้วยว่างานนั้นคืออะไร   กำหนดหน้าที่และมอบหมายหน้าที่ให้ทำ เช่น เป็นคนเขียน เป็นคนจับเวลาเป็นต้น   ครูต้องช่วยประสานงานให้งานดำเนินไปได้   ต้องสอนบทบาทเมื่อ อยู่ในกลุ่มว่าต้องมีบทบาทอะไร ซึ่งถ้าไม่ทำเช่นนั้น   อาจทำให้ผู้เรียนลอยละล่องหลุดออกไปจากสิ่งที่แนะนำ   หรือผู้เรียนฟังคำชี้แจงแล้วไม่ทำงาน   ฉะนั้นจึงต้องเน้นบทบาทของผู้เรียนให้ชัดเจนในกลุ่ม และให้โอกาสเขาสามารถพูดคุย   แลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน และหาแนวทางว่ากลุ่มจะไปในแนวทางไหน   เพราะถ้าไม่มีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันในกลุ่มแล้ว จะพบว่าการเรียนรู้จะไม่เกิด   แต่ถ้าเขาสามารถทำเป็นกลุ่มเรียนรู้   การเรียนรู้จะเกิดขึ้นดีมากกว่าการที่ครูจะพูดและเด็กนั่งนิ่งๆ   คนเดียวหรืออ่านหนังสือคนเดียว
           6.   เทคนิคการสอนของครูในการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎี Constructivism   คือ
           การสอนบรรยายในขณะที่บรรยาย   ครูอาจจะหยุดบอกผู้เรียนให้จดสิ่งสำคัญที่ครูพูดไป   และให้ผู้เรียนพูดคุยกับเพื่อนว่าสิ่งที่พูดไปคืออะไร
           การตั้งคำถาม ให้ผู้เรียนพูดคุยกันถึงสิ่งที่พูด และถามตอบกันเองในกลุ่มเล็กๆ
           การให้เด็กทำนาย โดยการเล่านิทาน   หลังจากนั้นหยุดให้ผู้เรียนทำนายว่าตอนจบของเรื่องจะเป็นอย่างไร   พร้อมทั้งให้บอกเหตุผลว่าทำไมจึงทำนายอย่างนั้น
           การวิเคราะห์ เช่น การสอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศหนึ่ง ครูให้การบ้าน   ให้ผู้เรียนไปอ่านเกี่ยวกับพลเมืองโดยมีข้อมูลเบื้องต้นอยู่ในหนังสือ   เมื่อเขามาโรงเรียน ให้เขาทำเป็นรายงานในชั้น   เป็นการนับพลเมืองและให้กำหนดแนวนโยบายของประเทศนั้น   สิ่งที่ครูใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจว่าพลเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
 |