| การสอนภาษาโดยองค์รวม (Whole   Language Approach)  ความเป็นมา           การสอนภาษาโดยองค์รวม (Whole Language Approach)   เป็นนวัตกรรมการศึกษาที่เสนอแนวคิดใหม่ในการสอนภาษา   เกิดจากความพยายามของนักการศึกษาและนักภาษาศาสตร์   ซึ่งมองเห็นปัญหาการเรียนรู้ภาษาของเด็ก   ซึ่งเกิดจากการสอนที่ครูมุ่งเน้นสาระทางภาษาเป็นหลัก   ทําให้การเรียนการสอนไม่น่าสนใจ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติคือไม่เหมาะ
            กับวัย   ความสนใจและความสามารถของเด็กและเมื่อคํานึงถึงประโยชน์ที่เด็กจําเป็นต้องใช้ภาษาในการเรียนร   และการสื่อสารใน
            ชีวิตจริง พบว่าการสอนภาษาแบบเดิม (traditional approaches)   ไม่เน้นความสําคัญของประสบการณ์และภาษาที่เด็กใชในชีวิตจริง   จึงไม่ได้ให้โอกาสเด็กเรียนรู้ภาษาและใช้ภาษาเพื่อสื่อสารอย่างมีความหมายเท่าที่ควร  หลักการและแนวทฤษฎีที่มีอิทธิพล           แนวการสอนภาษาโดยองค์รวมเกิดจากหลักการและแนวทฤษฎีของนักการศึกษาและนักภาษาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง
            อาทิ ดิวอี้ (Dewey) เปียเจต์ (Piaget) ไวก็อตสกี้ (Vygotsky) ฮอลลิเดย์ (Halliday)   และโรเซนแบลตต์ (Rosenblatt)   ที่ชี้ให้เห็นความสําคัญของการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาการคิดและภาษาของเด็กในบริบททางสังคมวัฒนธรรม   การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก   ตลอดจนการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ตอบสนองธรรมชาติ   และเหมาะสมกับขั้นพัฒนา
            การของเด็กแต่ละวัย   หลักการเหล่านี้เมื่อนํามาเป็นแนวคิดในการปรับเปลี่ยนการสอนภาษา   จะทําให้เด็กมีความสนใจเกิด แรงจูงใจที่จะเรียนรู้ภาษาได้ดีขึ้นเพราะสิ่งที่เรียนมีความหมายและไม่เกิดความรู้สึกว่าการเรียนภาษาเป็นเรื่องยากลําบาก
           เคนเนท กู๊ดแมน   (Kenneth Goodman) เชื่อว่าการสอนภาษาเป็นเรื่องสําคัญสําหรับชีวิตเด็ก   และโดยที่เด็กต้องเรียนรู้ภาษา และต้องใช้ภาษาเพื่อการเรียนรู้   ครูจะต้องตระหนักในความสําคัญ ดังกล่าว และจากการศึกษาภาษาศาสตร์เชิงจิตวิทยา   สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ปรัชญา การรู้หนังสือ และการจัดหลักสูตร   กู๊ดแมนได้รับการยกย่องในฐานะผู้บุกเบิกแนวการสอนภาษาโดยองค์รวม   มีผู้ให้ความสนใจนําความคิดไปใช้ในประเทศต่างๆ   และมีผู้ให้การสนับสนุนเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ในช่วงปี 1970 เป็นต้นมา
           จูดิท นิวแมน   (Judith Newman) กล่าวไว้ในหนังสือ Whole Language Theory in Use   ว่าการสอนภาษาโดยแนวคิดองค์รวมมีลักษณะเป็นปรัชญา(Philosophical stance)   ความคิดของผู้สอนจะก่อตัวขึ้นจากหลักการสอนที่ผู้สอนนํามาประสานกัน
           วัตสัน (Watson)   อธิบายว่าผู้สอนจะประสานแนวการสอนของตนกับองค์ประกอบทางทฤษฎี (theory) ความเชื่อ   (belief) และการนําความรู้ทางทฤษฎีและความเชื่อไปปฏิบัติจริง (practice)   องค์ประกอบทั้ง 3   มีความสัมพันธ์สนับสนุนกัน และกันเป็นวงจรที่ช่วยให้ผู้สอนเกิดการพัฒนาการสอนด้วยตนเอง   โดยใช้ข้อมูลจากการสังเกตเด็กเพื่อทําความเข้าใจใน
            ความสามารถ   และการแสดงออกของเด็กแต่ละคน   บันทึกความก้าวหน้าของเด็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของเด็กได้อย่าง
            เหมาะสม   ครูจะสามารถสร้างแนวคิดเชิงปรัชญาการสอนจากการแสวงหาคําตอบ (inquiry)   โดยพยายามนําทฤษฎีไปใช้ในการ
            สอนจริง 
            (inactive theory active)   พิสูจน์ความเชื่อของตนให้ปรากฏ (unexamined belief examined) และพัฒนาการสอนขึ้นเอง 
            (borrowed practice owned) กระบวนการ           บรรยากาศการเรียนภาษาในชั้นเรียนมีลักษณะเป็นการร่วมมือกันระหว่างครูและเด็กๆ   ตั้งแต่การวางแผนคือคิดด้วยกันว่า
            จะทําอะไร ทําเมื่อไร ทําอย่างไร   จําเป็นต้องใช้วัสดุอุปกรณ์อะไร จะหาสิ่งที่ต้องการมาได้อย่างไร   ใครจะช่วยทํางานในส่วนใด           การวางแผนจะมีทั้งแผนระยะยาว (long-range plans)   เพื่อวางกรอบความคิดกว้างๆ และแผนระยะสั้น (short-range plans)   ซึ่งเด็กและครูจะใช้ความคิดพูดคุยปรึกษากันเพื่อหารายละเอียดและขั้นตอนในการทํากิจกรรม           บทบาทของครูจะเป็นผู้หาวิธีการที่จะเชื่อมโยงประสบการณ์ที่เด็กมีอยู่เดิมให้สัมพันธ์กับกิจกรรมที่จัดขึ้น   ซึ่งอาจเป็นการเล่าเรื่องที่เด็กเคยพบเห็น   การเปิดโอกาสให้เด็กพูดจากความคิดหรือประสบการณ์ในขณะฟังเรื่องจากหนังสือที่
            ครูเลือกมาอ่านให้ฟัง   การจัดหาหนังสือที่เหมาะกับวัยไว้ในชั้นเรียน   เพื่อให้เด็กมีโอกาสหยิบมาอ่านหรือพลิกดูเสมอเพื่อเป็น การสร้างความคุ้นเคยกับภาพความคิดและตัวหนังสือ   ซึ่งครูไม่จําเป็นต้องสอนให้เด็กอ่านออก เช่น การอ่านแบบเรียนเล่ม 1 เล่ม 2   ที่เคยนิยมใช้มาแต่เดิม           การเขียนก็เช่นกัน   เด็กไม่ควรถูกบังคับให้เขียนตัวพยัญชนะ คํา ประโยคตามที่ครูสั่ง   แต่ในบรรยากาศการสอนแนวใหม่นี้ เด็กจะแสดงความต้องการให้ครูเห็นว่า   เขาต้องการเขียนสิ่งที่มีความหมายสิ่งที่เขายากบอกให้ผู้อื่นเข้าใจ   การเขียนในระยะแรกจึงเป็นการที่เด็กสร้างความคิด   ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ของเด็กและความต้องการสื่อความหมายให้ผู้อื่นทราบ   จะเห็นว่าในระยะแรกเด็กจะเขียนเส้นขยุกขยิกคล้ายตัวหนังสือหรือเขียนสะกดบางคําได้   แต่ยังไม่ถูกต้อง ครูที่เข้าใจแนวการสอน
            ภาษาโดยองค์รวม จะค่อยๆ   ส่งเสริมความคิดความต้องการเขียนหนังสือของเด็ก   โดยไม่ตําหนิให้เด็กแก้ไขสิ่งที่เขียนผิด ในทันทีแต่จะแนะให้เด็กสังเกตจากตัวอย่างต่างๆ   ที่เด็กพบเห็นได้บ่อยๆ   การสังเกตจะช่วยให้เด็กปรับการเขียนให้ถูกต้องได้โดย ไม่เกิดความรู้สึกผิดหรือถูกลงโทษ   ซึ่งอาจจะมีผลทางทัศนคติของเด็กได้มาก   ดังนั้นการสังเกตเด็กเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่งที่ครู
            จะต้องเฝ้าดูว่าเด็ก แต่ละคนแสดงออกอย่างไร   ครูจึงต้องมีบทบาทในการเฝ้าดูเด็ก (kid-watcher) เพื่อประเมินความสามารถ
            และเรียนรู้   และจัดประสบการณ์ที่เอื้ออํานวยการพัฒนาภาษาของเด็กด้วยตัวครูเองตลอดเวลา           การประเมินผลที่ครูพิจารณาจากการสังเกต การบันทึก   การเก็บร่องรอยทางภาษาของเด็กขณะทํากิจกรรมต่างๆ   และการสะสมชิ้นงานถือว่าสําคัญอย่างยิ่ง   เพราะเป็นการประเมินการเรียนรู้ภาษาจากสภาพจริง (authentic forms of assessment)   และมีประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กมากกว่าการใช้แบบทดสอบทางภาษา   
 |