| “โรคมือเท้าปาก”
                     โรคชื่อแปลกอย่าง “โรคมือเท้าปาก” ปรากฏเป็นข่าวสร้างความกังวลใจให้กับคนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองอีกครั้ง   หลังมีการตรวจพบการแพร่ระบาดที่กรุงเทพฯ ในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านลาด พร้าว   ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง   ก็ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าทำการตรวจพิสูจน์เก็บตัวอย่างไวรัส  ทางผู้เชี่ยวชาญแถลงว่าเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือเท้าปากในเด็กครั้งนี้   “ไม่ใช่สายพันธุ์ร้ายแรง” ไม่ใช่สายพันธุ์ เอ็นเทอโรไวรัส 71 (Entero Virus 71)   แต่เป็นเชื้อไวรัส คอกซากี เอ16 (Cox Sackie A16)   ลักษณะจึงเป็นเพียงโรคประจำถิ่นที่พบได้ในเด็กวัยอนุบาล อาการคล้าย “อีสุกอีใส”   หรือการออก “หัด” ในเด็ก   
                       ทั้งนี้ จากสถิติจะพบผู้ป่วยโรคมือเท้าปากในไทย ปีละ 800-1,000 ราย และในปี 2548   นี้เบื้องต้นพบแล้ว 53 ราย โดย 95% เป็นเด็กวัย 2-5 ปี   ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่สายพันธุ์ร้ายแรงอย่างที่กลัวกัน...   ฟังแล้วโล่งใจ...แต่หลายคนก็ยังเป็นห่วงบุตรหลาน !!   สาเหตุที่พ่อแม่ผู้ปกครองซึ่งสนใจติดตามข่าวสารยังเป็นกังวล   ยังกลัวว่าบุตรหลานจะได้รับอันตรายร้ายแรงจาก “โรคมือเท้าปาก”   ก็เพราะเมื่อหลายปีก่อนในเมืองไทยเองเคยเกิดโกลาหล เมื่อมีข่าวว่าประเทศใกล้ ๆ   ไทยอย่างมาเลเซีย และไต้หวัน มีเด็กป่วยด้วยโรคนี้เป็นแสน ๆ ราย และหลายราย   “เสียชีวิต”
 ต้นเหตุสำคัญก็คือ “เอ็นเทอโรไวรัส 71” เชื้อเอ็นเทอโรไวรัส 71   ที่ว่านี้ทำให้เกิดโรคมือเท้าปาก เช่นเดียวกับคอกซากี เอ16 เพียงแต่เอ็นเทอโรไวรัส   71 มันมีการพัฒนาสายพันธุ์จนเชื้อมีความรุนแรงมากกว่าคอกซากี เอ16   การเกิดโรคมือเท้าปากจากเชื้อต่างสายพันธุ์จะแตกต่างกันที่ “อาการ” และ   “ความรวดเร็ว-รุนแรง” ของโรค ซึ่งคนที่ได้รับเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม เอ16   จะมีอาการแค่ไข้สูง เกิดตุ่มใส มีผื่นแดง เป็นแผลร้อนใน และภายในระยะเวลาประมาณ   10-14 วันก็จะหายไปในที่สุด
 แต่...กับเจ้าเชื้อ “เอ็นเทอโรไวรัส 71” จะแสดงอาการรวดเร็ว   ที่สำคัญ...อาการของโรคยังรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อ “เสียชีวิต” ได้ !! จากรายงานทางการแพทย์ เหยื่อของไวรัสสายพันธุ์เอ็นเทอโร ไวรัส 71   มักจะเป็น “เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ” หรือเด็กวัยอนุบาล   ซึ่งภูมิคุ้มกันยังน้อยกว่าผู้ใหญ่มาก หากติดเชื้อก็มีโอกาสเสียชีวิต   ระยะฟักตัวของเชื้อก่อนแสดงอาการจะอยู่ที่ระยะเวลาประมาณ 3 วัน   ซึ่งอาการของเด็กที่ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ ต่อมาก็จะเกิดตุ่มใส ๆ   จนเกิดเป็นแผลบริเวณปาก มือ และเท้า
 ถ้าไม่รู้ก็อาจคิดว่าไม่รุนแรงมาก...แต่ไม่ใช่   หากรักษาไม่ทันท่วงทีก็มีสิทธิเสียชีวิต !!! สำหรับการติดต่อของเชื้อที่ทำให้เกิด   “โรคมือเท้าปาก” นั้น ส่วนใหญ่จะเกิดจากการกิน   แต่ก็มีการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจด้วย เพียงแต่ที่ผ่านมาพบในจำนวนที่น้อยมาก   ซึ่งการติดเชื้อ-การติดต่อจะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วในเด็กที่ “สุขภาพอ่อนแอ”   เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัว 3 วัน เชื้อจะเข้าเลือดและไปสู่อวัยวะต่าง   ๆ เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เยื่อบุหัวใจ ผนังทรวงอก ตับอ่อน   
                       ไวรัสในกลุ่มเดียวกับเอ็นเทอโรไวรัสนั้น มีอยู่ 5 สายพันธุ์หลักคือ...   โปลิโอไวรัส (Polioviruses), คอกซากีไวรัส กลุ่มเอ (Group A Coxsackiviruses),   คอกซากีไวรัส กลุ่มบี (Group B Coxsackiviuses), เอ็คโคไวรัส
 (Echoviruses)   และก็เจ้าเอ็นเทอโรไวรัสที่ว่า “จุดอันตราย” ที่ทำให้เกิดความกังวล   และหลายฝ่ายรู้สึกว่า
 “น่าเป็นห่วง”   ก็คือ...มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตถึงการระบาดใหญ่ของเชื้อเอ็นเทอโรไวรัสในไต้หวันว่า...ไม่น่าจะเกิดจากการ
 กินเท่านั้น
 การระบาดที่ค่อนข้างมากของไวรัสครั้งนั้นอาจเป็นไปได้ว่ามีการ   “แพร่เชื้อทางอากาศ”   แม้ว่าจากฐานข้อมูลเดิมจะพบว่าการติดเชื้อทางอากาศจะมีโอกาสเป็นไปได้น้อย   แต่ก็เป็นไปได้ว่า“เอ็นเทอโรไวรัส 71” อาจมีการ   “เปลี่ยนแปลงสายพันธุ์” ปรับตัวเองเพื่อให้อยู่รอด สิ่งที่พบในการระบาดใหญ่ของ   “โรคมือเท้าปาก” เมื่อ 5-6 ปีก่อนก็คือ... “แสดงอาการตรงไปที่สมอง สมองอักเสบ บวม   และในที่สุดก็ทำให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิต !!”
 ทั้งนี้และทั้งนั้น   กล่าวสำหรับการพบเด็กเล็กในโรงเรียนย่านลาดพร้าวป่วยเป็นโรคชื่อแปลกอย่าง   “โรคมือเท้าปาก” นั้น   ต้องขอย้ำอีกครั้งว่าทางสาธารณสุขยืนยันว่า...ไม่ได้เกิดจากเชื้อสายพันธุ์ร้ายแรง   และก็ได้มีการเฝ้าระวัง พร้อมกำหนดมาตรการด้านสุขอนามัย   แต่พ่อแม่ผู้ปกครองทั่วไปก็ควรใส่ใจบุตรหลานด้วย
 การป้องกันบุตรหลานในเรื่องอาหาร น้ำดื่ม   และไม่จำเป็นก็ไม่ให้ไปอยู่ในสถานที่แออัดยัดเยียด น่าจะเป็นวิธีที่ดี เป็นการ   “ป้องกันไว้ก่อน” ที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่หลายโรคชอบอาละวาด   โรคบางโรคพรากบุตรหลานเราไปได้ในเวลาแค่ 3 วัน อย่าได้   “ประมาท” เป็นอันขาด !!!!.
 ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 
 
 
 |